23 กรกฎาคม, 2555

การควบคุมการบริหารค่าตอบแทน




 การควบคุมการบริหารค่าตอบแทน



จุดมุ่งหมายของการควบคุมการบริการค่าตอบแทน
1 .เพื่อให้มากรปฏิบัติตามวัตถุประสงค์และนโยบายขององค์การ เป็นผลผลิตขององค์การจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมโครงการบริหารค่าตอบแทนด้วยการตรวจสอบว่า  ได้มีการปฏิบัติตามสาระสำคัญต่างๆ  ของการบริหารค่าตอบแทนและการจัดทำโครงการค่าตอบแทนหรือไม่  เพื่อวัตถุประสงค์และนโยบายองค์การ
2. เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการบริหารค่าตอบแทนเกิดความเป็นธรรมและความเสมอภาคในระหว่างพนักงานด้วยกันเอง การประเมินงานจะช่วยให้เกิดความเสมอภาคในระหว่างพนักงาน นำมาใช้ในการจัดทำโครงการค่าตอบแทน การควบคุมโคตรการบริหารค่าตอบแทนจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมและตรวจสอบเกี่ยวกับการวิเคราะห์งานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเสมอภาคแก่พนักงาน
3. เพื่อให้แน่ใจว่าการบริหารค่าตอบแทนมีผลในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานการบริหารค่าตอบแทนที่ดีจะต้องมีการติดตามประเมินผลอยู่เสมอว่า การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานมีผลต่อการสร้างประสิทธิภาพขององค์การ
4. เพื่อการต้นทุนแรงงานให้ได้ผล
4.1 ค่าตอบแทนทางตรง ได้แก่ ค่าจ้าง เงินเดือน โบนัส ค่านายจ้างการขาย ซึ่งหลักการจ่ายค่าตอบแทนทางอ้อมมักพิจารณาจากความรับผิดชอบของนายจ้างในการช่วยเหลือเกื้อกูลพนักงาน
4.2 ค่าตอบแทนทางอ้อม ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งหลักการจ่ายค่าตอบแทนทางอ้อมมักพิจารณาจากความรับผิดชอบของนายจ้างในการช่วยเหลือเกื้อกูลพนักงาน
5. เพื่อตรวจสอบความถูกต้องความสอดคล้องกับกฎหมายและสภาพแวดล้อมทางการบริหารด้านต่างๆ
ในด้านความถูกต้องตามกฎหมายสิ่งที่ต้องพิจารณา 2 ด้าน (1) ค่าตอบแทนในรูปค่าจ้างหรือเงินเดือน ที่องค์การจ่ายให้พนักงาน จะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย (2) การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ต้องไม่ต่ำกว่าที่กฎหมาย คุ้มครองแรงงานที่กำหนดไว้
สาระสำคัญในการควบคุมในการบริหารค่าตอบแทน
1. การควบคุมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ และการประเมินค่างาน ควรมีการทบทวนการวิเคราะห์งานและการจัดทำปรับปรุงการประเมินค่างาน เป็นครั้งคราว เพื่อนำผลการประเมินค่างานใหม่ไปใช้ในการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทน เพราะการวิเคราะห์งานและการประเมินค่างานมีความสำคัญต่อการทำให้ทราบค่า ที่ถูกต้องของงาน
2. การควบคุมโครงสร้างค่าตอบแทน
2.1 การจ้างงานและการกำหนดอัตราค่าจ้าง กรณีที่เป็นการจ้างงานสำหรับพนักงานใหม่ หากเป็นการจ้างในตำแหน่งงานที่มีอยู่แล้วในการควบคุมที่ได้ผลจำเป็นต้องมีการกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ในการว่าจ้างและการกำหนดอัตราการจ้าง สำหรับหน่วยงานต้นสังกัดให้เป็นไปตามนโยบายและระเบียบปฏิบัติขององค์การ
2.2 การปรับและขึ้นค่าตอบแทน ควรใช้โคตรสร้างค่าตอบแทนเป็นกรอบในการพิจารณา ประกอบกับการประเมินผลการปฏิบัติงานหรือเหตุผลอื่นๆที่จำเป็น เนื่องจากวิธีการปรับและขึ้นค่าตอบแทน มีหลายวิธีและมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาความไม่เป็นทำแก่พนักงานได้
3. การควบคุมแผนการจ่ายค่าตอบแทนแบบจูงใจ ในการจ่ายค่าตอบแทนแบบจูงใจนั้น ฝ่ายบริหารจะกำหนดมาตรฐานของงานแต่ละชิ้น ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลวัดผลงานที่พนักงานปฏิบัติ โดยทั่วไปถ้าผลงานสูงกว่ามาตรฐานลูกจ้างจะได้รับค่าตอบแทนจูงใจ
3.1 มาตรฐานงาน (Job standard) ควรเป็นมาตรฐานอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติได้จริงและอยู่ในระดับที่ท้าทายความสามารถในการทำงาน
3.2 การวัดผลการปฏิบัติงาน (performance measurement) การวัดผลการปฏิบัติงานถือเป็นหัวใจของระบบการควบคุมเป็นกระบวนการที่ทำให้ทราบถึงระดับการปฏิบัติงาน ของพนักงานแต่ละคน
3.3 การปรับปรุงแผนการจ่ายค่าตอบแทนแบบจูงใจให้เหมาะสมและทันสมัยอยู่เสมอ ความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้แผนการจ่ายค่าตอบแทนแบบจูงใจมีข้อจำกัด
4. การตอบควบคุมแผนการจ่ายค่าตอบแทนทางอ้อม การควบคุมแผนการจ่ายค่าตอบแทนทางอ้อมในแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน โดยค่าตอบแทนทางอ้อมประเภทที่จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด มีการควบคุมให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การควบคุมค่าตอบแทนทางอ้อมที่ฝ่ายบริหารกำหนดให้มีขึ้นเองตามความสมัครใจ

                   เทคนิคการควบคุมการบริหารค่าตอบแทน         
1.การควบคุมโดยใช้ระบบงบประมาณค่าตอบแทน หลักการบริหารและควบคุมที่องค์การสมัยใหม่นิยมใช้ได้แก่ วิธีการจัดทำงบประมาณ แต่ด้วยเหตุที่ต้นทุนแรงงานอันเกิดจากค่าจ้าง เงินเดือน ผลประโยชน์ตอบแทนลูกจ้างและพนักงานต่างๆในองค์การ
2.การตรวจสอบและการวิเคราะห์เพื่อประเมินผลการบริหารค่าตอบแทน
2.1การตรวจสอบคำบรรยายลักษณะงาน หน้าที่การงานของพนักงานในตำแหน่งงานต่างๆได้จัดทำขึ้นตามหน้าที่การปฏิบัติงานที่มีอยู่จริงในช่วงขณะที่จัดทำ บางครั้งยังมีปัญหาการมอบหมายงานให้พนักงานปฏิบัติไม่ตรงตามคำบรรยายลักษณะงาน ดังนั้นการใช้คำอธิบายหน้าที่การงานเดิมและผลจากการปะเมินค่างานเดิมจึงไม่เป็นการถูกต้อง การตรวจสอบเป็นครั้งคราวจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
2.2การตรวจบัญชีค่าตอบแทน มีการควบคุมและอนุมัติการจ่ายค่าตอบแทนในอัตนราที่กำหนดไว้ในโครงสร้างค่าตอบแทนในระบบการบริหารในองค์การ ต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอนอกจากนี้การตรวจสอบยังต้องรู้ว่ามีการจ่ายค่าตอบแทนโดยไม่ผ่านการอนุมัติระเบียบที่กำหนไว้หรือไม่ด้วย
2.3การตรวจสอบผลการพิจารณาปรับค่าตอบแทน การปรับค่าตอบแทนจะถูกกำหนดและควบคุมโดยงบประมาณค่าตอบแทนแต่ปัญหาเฉพาะรายอาจมีการปรับเงินเดือนให้โดยไม่ถูกต้อง ตามระเบียบปฏิบัติจำเป็นต้องป้องกันด้วยการตรวจสอบโดยละเอียดในการพิจารณาปรับเงินเดือนของทุกหน่อยงานให้ทั่วถึง
2.4การตรวจสอบทะเบียนประวัติพนักงาน ในการตรวจสอบทะเบียนประวัติพนักงานบางคนนั้นนอกจากเพื่อให้มีทะเบียนประวัติพนักงานที่ถูกต้องแล้วยังจำเป็นต้องดูว่าทะเบียนประวัติได้จัดทำขึ้นตรงตามจำนวนพนักงานที่ว่าจ้างไว้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบอย่างระมัดระวังอย่าสม่ำเสมอ
2.5การตรวจสอบการบริหารค่าตอบแทนรวมทั้งผลประโยชน์ของพนักงาน  มุ่งเน้นที่การพิจารณาอย่างกว้างๆ ถึงผลกระทบที่ตามมาจากการบริหารค่าจ้าง เงินเดือน สวัสดิการ และผลประโยชน์สำหรับพนักงานโดยวัดจากทัศนะคติของพนักงานแต่ละระดับที่มีต่อนโยบายและระเบียบปฏิบัติ
(1.)การวิเคราะห์สัดส่วนกำลังคนในองค์การเกี่ยวกับค่าตอบแทน การหาอัตราส่วนระหว่างหัวหน้างานกับจำนวนพนักงานที่ควบคุมบังคับบัญชา บางกรณีอาจพบว่าหัวหน้างานมีจำนวนมากเกินไป ถ้าหากพัฒนาให้หัวหน้างานมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ก็อาจทำให้หัวหน้างานหนึ่งคนสามารถควบคุมบังคับบัญชาพนักงานในสังกัดได้มากขึ้น
(2.)การวิเคราะห์สัดส่วนระหว่างต้นทุนแรงงานค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ในช่วงระยะตั้งแต่ปี
พ.ศ.2516-2545 หลายครั้งที่มีการปรับปรุงค่าแรงงานขั้นต่ำและการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่คนงานในโรงงานหลายครั้งที่การปรับปรุงแรงงานขั้นต่ำและช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่คนงานในโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่งสูงมาก ดังนั้นจึงทำให้สัดส่วนการเพิ่มของการใช้จ่ายด้านแรงงานสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเดินงานอื่นๆของกิจการการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบโดยสม่ำเสมออาจนำไปสู่การตัดสินใจของฝ่ายบริหารเพื่อการลงทุนในด้านการปรับปรุงเครื่องมือ เครื่องจักรที่สามารถ ลดจำนวนคนทำงานลง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะเวลายาวให้ได้ผล ขณะที่อัตราการเพิ่มกำลังแรงงานสูงขึ้นจึงมีผลทำให้เกิดการว่างงานในปัจจุบัน
 การควบคุมการบริหารค่าตอบแทนด้วยการติดต่อสื่อสาร      
วัตถุประสงค์ของการติดต่อสื่อสารเพื่อการบริหารค่าตอบแทนจะมุ่งไปที่บุคคลและหน่วยงานดังนี้
1.ลูกจ้างทุกคนและทุกกลุ่มลุกจ้าง เช่นคณะกรรมการ ลูกจ้างสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดการรับรู้ความเข้าใจและการยอมรับในหลักความถูกต้อง วิธีทำและเป็นธรรมและการบริหารค่าตอบแทน
2.กลุ่มพนักงานและระดับบังคับบัญชา เพื่อให้หัวหน้างานและนักบริหารเข้าใจถึงนโยบายความจำเป็น ข้อมูลต่างๆโดยละเอียด เพื่อการอธิบายชี้แจงให้พนักงานในบังคับบัญชาทั้งคนเก่าเพื่อตอบข้อซักถามข้อร้องทุกของพนักงานในหน่วยงานเป็นเบื้องต้นด้วย
3.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารค่าตอบแทน การรับรู้และประสานงานการปฏิบัติการได้อย่างดี ตามหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น แผนกบริหารค่าตอบแทน แผนกว่าจ้างและทะเบียนประวัติ แผนกสวัสดิการ แผนกแรงงานสัมพันธ์ในฝ่ายบุคคลหรือฝ่ายพนักงานสัมพันธ์ ฝ่ายวิจัยและวางแผน ฝ่ายบัญชีและการเงิน ฝ่ายประชาสัมพันธ์และวารสาร
 ระเบียบการปฏิบัติและการสั่งการในการบริหารค่าตอบแทน
ความเป็นและประโยชน์ของระเบียบปฏิบัติในการบริหารค่าตอบแทนมีดังนี้
1.การออกระเบียบตามความจำเป็นที่กำหนดบังคับไว้ตามกฎหมาย
1.1เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามห้ามฝ่าฝืน
 สอดคล้องไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
2.การออกระเบียบปฏิบัติเพื่อความเข้าใจอันดีของพนักงานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ
2.1การออกระเบียบปฏิบัติในการขึ้นและปรับค่าตอบแทนเพื่อให้เป็นหลักในการดำเดินการ
3.การสั่งการในการบิหารค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือระเบียบปฏิบัติโดยปกติ การสั่งการในการบริหารค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษเป็นไปตามนอกเหนือระเบียบปฏิบัติโดยปกติเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การเฉพาะกิจ เฉพาะกรณี
3.1การดำเนินการเรื่องการว่าจ้างบุคคลที่ให้ค่าตอบแทนสูงหรือมีเงื่อนไขพิเศษ
3.2กรณีที่มีผลกระทบต่องบประมาณค่าตอบแทนของหน่วยงาน
3.3การสั่งการให้มีการปฏิบัติเป็นพิเศษ[1]


[1] กิ่งพร  ทองใบ.การบริหารค่าตอบแทน.กรุงเทพมหานคร:ธรรมสาร จำกัด,2545

การสรรหาทรัพยากรมนุษย์


การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการสรรหาทรัพยากรมนุษย์หรือการจัดหาบุคคลเข้าทำงาน  นับว่าเป็นงานขั้นแรกที่องค์การจะดำเนินการเพื่อให้องค์การประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน  ซึ่งจะมีผลให้องค์การสามารถดึงดูดหรือชักจูงคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานสนับสนุนให้คนที่ทำงานแล้วปรับปรุงสมรรถภาพของคนให้สูงขึ้นและรักษาคนดีให้อยู่ในองค์การต่อไป  ลักษณะของนโยบายดังกล่าวขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  สิ่งที่นำมาประกอบการกำหนดนโยบายหรือแนวทางสรรหาบุคคลเข้าทำงาน ได้แก่
  ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่องค์การจะได้รับ
  1.      การบรรจุตำแหน่งที่ว่างลงจากบุคคลภายนอกองค์การและภายในองค์การ
  2.      ความเที่ยงธรรมในการจัดบุคคลเข้าทำงานการกำหนดมาตรฐานในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
  3.      อิทธิพลของผู้สมัครบางคนที่จะส่งผลกระทบถึงการจัดหาบุคคลเข้าทำงาน
  ข้อดีการสรรหาทรัพยากรมนุษย์

  • สร้างขวัญ  กำลังใจให้พนักงานที่ทำงานในปัจจุบัน  ซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์การ
  • ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลตลอดจนการฝึกอบรมพนักงาน
  • ลดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์
 ข้อเสียการสรรหาทรัพยากรมนุษย์
  • อาจขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
  • ขาดแคลนกำลังคนโดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการมีการขยายงาน
แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทน 
รางวัลหรือค่าตอบแทนต่างๆมีความจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีสถานภาพหรือฐานะเป็นอย่างไร การจ่ายค่าตอบแทนขององค์การย่อมมีผลกระทบต่อรายได้ของคนงานโดยตรง  ส่วนผลทางอ้อมคือ กระทบต่อมาตรฐานการครองชีพ ต่อสถานภาพ ต่อความภาคภูมิใจของมนุษย์ด้วย
            การจ่ายค่าตอบแทนขององค์การ เพื่อดึงดูดบุคคลทั่วไปเข้ามาทำงานในองค์การ เพื่อรักษาพนักงานให้อยู่ทำงานในองค์การต่อไป และเพื่อจูงใจคนงานหรือพนักงานให้ตั้งใจหรือใช้ความพยายามในกานทำงานให้องค์การอย่างเต็มที่
   แนวคิดด้านการบริหารค่าตอบแทนแบบยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (The Scientific Management) : Frederick W. Taylor
“เป็นไปได้ที่จะให้คนงานได้ในสิ่งที่เขาต้องการอันได้แก่  การได้ค่าจ้างที่สูงและเป็นไปได้อีกเช่นกันที่จะให้นายจ้างได้รับในสิ่งที่เขาต้องการนั่นคือ  การมีต้นทุนด้านแรงงานที่ต่ำ”                 ( Taylor:10 )



รูปที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเงิน  ความพึงพอใจ  และการสร้างผลผลิต
          แนวคิดนี้ เทย์เลอร์ ได้ทดลองนำไปใช้ในโรงงาน Midvale Steel Plant ได้แก่แผนการจ่าย “ตามรายชิ้น”(The Differential Piece-Rate Plan)โดยที่กำหนดอัตราการจ่ายที่สัมพันธ์กับมาตรฐานของงานที่ตั้งไว้  อัตราที่จ่ายเมื่อทำงานได้ถึงมาตรฐานหรือสูงกว่า และอัตราที่จ่ายในกรณีที่ทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด  ปรากฏว่าบุคคลทั่วไปในวงการบริหารก็เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว  ซึ่งสามารถกระตุ้นให้คนงานทำงานกันอย่างเต็มที

        เทคนิคการสำรวจค่าจ้าง

 ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนการสำรวจปรกอบด้วยกิจกรรม ดังต่อไปนี้
1.การกำหนดจุดมุ่งหมาย                             2.การกำหนดขอบเขตและองค์การที่จะสำรวจ
3.สุ่มเลือกองค์การที่อยู่ในขอบเขตการสำรวจ        4.พิจารณาเลือกตำแหน่งงานที่จะสำรวจ

5.กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ต้องการ  6.เลือกใช้เครื่องมือหรือวิธีการที่ถูกต้องในการรวบรวมข้อมูล
        ขั้นตอนที่ 2 การสำรวจ ประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปนี้
1.ติดต่อขอความร่วมมือจากองค์การที่เกี่ยวข้อง
2.รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานแต่ละตำแหน่งในเชิงเปรียบเทียบ
      ขั้นตอนที่ 3 การเสนอผลการสำรวจ ประกอบด้วยกิจกรรมดังนี้
1.ข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างเงินเดือน
2.ข้อมูลเกี่ยวกับแนวปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้าเงินเดือน
      เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยมี 4 ประเภทด้วยกันคือ (Cooper and Emmory,1995 และสวัสดิ์ สุคนธรังษี,2514:22)
1.การสังเกต                              2.การใช้แบบสอบถาม
3.การสำภาษณ์                         4.การวิจัยหรือสำรวจเอกสาร
ผู้วิจัยหรือผู้สำรวจค่าจ้างต้องรีบติดต่อกับองค์การที่จะทำการสำรวจ โดยให้องค์การเหล่านั้นทราบจุดมุ่งหมายและวิธีการที่ในการสำรวจตำแหน่งงานที่จะศึกษาอย่างชัดเจนรวมทั้งข้อมูลที่ต้องการในเรื่องค่าจ้างและเงินเดือนโดยผู้สำรวจต้องไปสนทนากับผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้ปฏิบัติงาน ในตำแหน่งที่อยู่ในขอบข่ายของการสำรวจเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน  ระหว่างผู้สำรวจกับฝ่ายบริหาร  ซึ่งทำให้ผลการสำรวจมีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือนั่นเอง  [1]






[1] นพ  ศรีบุญนาค.การคัดเลือกบุคคลและการบริหารค่าตอบแทน.พิมพ์ครั้งที่ 1.สำนักพิมพ์สูตรไพศาล : กรุงเทพมหานคร ,2546