“การเลิกจ้าง” หมายถึง
การกระทำของนายจ้างที่แสดงให้ลูกจ้างทราบว่า
นายจ้างไม่จ้างลูกจ้างทำงานต่อไปเพื่อให้ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างเป็นอันเลิกกัน
1) การเลิกจ้างที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ตามพระ ราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
มาตรา 17ประกอบมาตรา 118 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 17 สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะ เวลาในสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา
นายจ้างหรือลูกจ้าง
อาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้
แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน
ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง
ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตาม มาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้
การบอกเลิกสัญญาจ้างตามวรรคสอง
นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้
และให้ถือว่าการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตามวรรคนี้
เป็นการจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตาม มาตรา
582 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การเลิกจ้าง
ตาม มาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และ มาตรา
583 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 118
ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่ง เลิกจ้างดังต่อไปนี้
(1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน
หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี
แต่ไม่ครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่า ค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ
ค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี
แต่ไม่ครบหกปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย
สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหกปี
แต่ไม่ครบสิบปีให้ จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสองร้อยสี่สิบวัน
หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(5) ลูกล้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไป
ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวันหรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
การเลิกจ้างตามมาตรานี้
หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด
และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้
สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจ หรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของ
งานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน
หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง
ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 582 ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าล่วงหน้า
ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้
แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
อนึ่ง
ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่าย
จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
1 กรณีที่มีกำหนดระยะเวลาจ้าง
ย่อมเป็นไปตามมาตรา 17 วรรคหนึ่ง คือ
สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
2 ในกรณีที่นายสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา
นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดย
2.1
บอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด
แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากิน 3 เดือน
2.2 การบอกกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ
2.3 เวลาที่เลิกสัญญา
คือ เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวใด(หลังจากที่ได้บอกกล่าวโดยถูกต้องตาม2.1-2.2)
2) .การเลิกจ้างที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 583 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 583 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี
ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี
หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี
ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอก กล่าวล่วงหน้า หรือให้สินไหมทดแทนก็ได้
การลาออก
หมายถึง การกระทำของลูกจ้างที่แสดงให้นายจ้างทราบว่าลูกจ้างไม่รับจ้างทำงานให้แก่นายจ้างต่อไป
แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง
แสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่
สรุปสัญญาจ้างแรงงานมี 2 ประเภท
1.
สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลา
จะลาออกก่อนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานนั้นก่อนไม่ได้
เช่น สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระระเวลาจ้าง 3
เดือน จะลาออกก่อนครบ 3 เดือนนั้นก่อนไม่ได้
หากการลาออกก่อนนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างลูกจ้างต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
2.
สัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ลูกจ้างสามารถลาออกได้ตามเงื่อนไขต่อไปนี้
ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา
นายจ้างหรือลูกจ้าง(การลาออก)อาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดย
2.1
บอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากิน
3 เดือน
2.2 การบอกกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ
2.3 เวลาที่เลิกสัญญา
คือ เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวใด(หลังจากที่ได้บอกกล่าวโดยถูกต้องตาม2.1-2.2)
การที่ลูกจ้างลาออกย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือค่าเสียหายดังเช่นกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง
แต่การลาออกอาจทำให้ลูกจ้างเกิดสิทธิอื่นๆ
ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อบังคับเกี่ยวข้องกับการทำงานได้
เช่นสิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จ เงินตอบแทนการทำงานนาน
เงินสะสมส่วนสมทบของนายจ้าง เป็นต้น
เกษมสันต์ วิลาวรรณ.การเลิกจ้างและการลาออก
.พิมพ์ครั้งที่7
วิญญูชน :
กรุงเทพมหานคร, 2548.