28 สิงหาคม, 2555

ความเป็นมาของการทำบล็อก



          โดยกลุ่มของข้าพเจ้าได้เริ่มทำบล็อกจากการสมัครบล็อกของ  www.Blogspot.cm และได้เป็นสมาชิกในบล็อก BlogSpot เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ใช้ชื่อว่า The Employee Compensation ซึ่งกลุ่มข้าพเจ้ามีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 9 คน และสมาชิกภายในกลุ่มได้ร่วมกันในการที่จะคัดเลือกหนังสือที่มีเนื้อหาสาระชวนอ่านตามที่ตนเองสนใจเพื่อนำไปศึกษาแล้วสรุปในรูปแบบของ book review โดยที่หนังสือจะต้องมีความหลากหลายทางเนื้อหาสาระและการนำเสนอเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มคนอ่านที่มีความแตกต่างกันได้อย่างคบถ้วน อันประกอบไปด้วย หนังสือ6อันตรายของการจ่ายค่าจ้าง หนังสือการเลิกจ้างและการลาออก หนังสือนโยบายแรงงาน   หนังสือ คู่มือการจัดระบบการจ้างแรงงานต่างด้าว หนังสือการบริหารค่าตอบแทนหนังสือมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ หนังสือการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน หนังสือการบริหารค่าตอบแทน และหนังการคัดเลือกบุคคลและการบริหารค่าตอบแทน ซึ่งล้วนแล้วแต่ควรค่าแก่การอ่านเป็นอย่างมาก จากการนำเสนอที่น่าสนใจของหนังสือทั้ง 9 เล่ม ใช้ภาษาในการสื่อสารที่เข้าใจง่ายเนื้อหาไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ส่วนของภาพยนตร์กลุ่มของข้าพเจ้าก็ได้คัดเลือกภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนมากที่สุด ซึ่งกลุ่มของข้าพเจ้าได้เลือก 3 เรื่องด้วยกันคือ

 1.ภาพยนตร์เรื่องThe social network

2.ภาพยนตร์เรื่อง Transformers 3

3.ภาพยนตร์เรื่อง Eva trailer.avi

ซึ่งภาพยนตร์ดังกล่าวมีการดำเนินเรื่องที่สนุกในเนื้อหาสาระ ที่กระชับและเข้าใจง่ายถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์จากต่างประเทศ แต่การแปลมาเป็นภาษาไทยและพากย์เป็นภาษาไทยก็มีความเข้าใจง่ายในเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อต่อผู้ชมทั้ง 3 เรื่อง หากใครเป็นคอภาพยนตร์แนวเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารการพัฒนาทางเทคโนโลยีต่างๆ ภาพยนตร์ 3 เรื่องนี้ไม่ควรพลาด

27 สิงหาคม, 2555

The social network





กำหนดฉาย : 2 ธันวาคม 2010
แนว : ดราม่า
ยาว : 121 นาที
นำแสดง : เจซซี่ ไอเซนเบิร์ก, แอนดรูว์ การ์ฟิลด์, จัสติน ทิมเบอร์เลค, เบรนด้า ซอง และ รูนนี่ มารา
กำกับ : เดวิด ฟินเชอร์


เรื่องย่อ The Social Network
          โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ภาพยนตร์แห่งศตวรรษ The Social Network ภาพยนตร์ที่ถูกบอกเล่าจากหลายมุมมอง เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ผู้ที่เปลี่ยนโลก ทั้งใบให้เล็กลงด้วยอัจฉริยภาพของเขา ใน The Social Network
          ผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ และมือเขียนบทแอรอน ซอร์กิน ได้ล้วงลึกถึงช่วงเวลาที่ Facebook ปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในแวดวงสังคมแห่งศตวรรษใหม่ ถูกประดิษฐ์ขึ้น ผ่านทางมุมมองของกลุ่มเด็กหนุ่มผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ที่แต่ละคนล้วนอวดอ้างว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับการถือกำเนิดของ Facebook ผลที่ได้คือ การสร้างสรรค์และการทำลายล้าง เรื่องราวที่สะท้อนความจริงที่ขัดแย้งกัน และความสัมพันธ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

          ใน ค่ำคืนแห่งความเมามายในเดือนตุลาคม ปี 2003 หลังจากที่เพิ่งเลิกรากับแฟนสาว มาร์คได้แฮ็คเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างเว็บไซต์รวบรวมดา ต้าเบสของผู้หญิงทุกคนในมหาวิทยาลัย ก่อนจะจับคู่รูปสองรูปมาอยู่ข้าง ๆ กัน และให้ยูสเซอร์เลือกว่าใคร "ฮ็อตกว่ากัน" เขาตั้งชื่อเว็บไซต์นี้ว่า Facemash และมันก็กระจายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาระบบของฮาร์วาร์ดทั้งหมดพังครืนลงมา ก่อให้เกิดการถกเถียงกันทั่วมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับประเด็นที่ดูเหมือนจะแสดง ถึงการเกลียดชังผู้หญิงของเว็บไซต์ และกล่าวหามาร์คว่า ในการสร้าง Facemash ของเขา เขาได้จงใจบุกรุกการรักษาความปลอดภัย ละเมิดลิขสิทธิ์และการเคารพในสิทธิส่วนบุคคล แต่จังหวะนั้นเองที่โครงสร้างสำคัญสำหรับ Facebook ได้ถือกำเนิดขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น มาร์คก็ได้ก่อตั้งเว็บ thefacebook.com ซึ่งแพร่กระจายราวไฟลามทุ่งจากหน้าจอหนึ่งไปสู่อีกหน้าจอหนึ่งทั่วฮาร์วาร์ด ผ่านจากไอวี ลีกสู่ซิลิคอน วัลลีย์ ก่อนที่จะแพร่ไปทั่วโลก

          

แต่ท่ามกลางความสับสน วุ่นวายของกระบวนการสร้างก็เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร และใครควรเป็นผู้ได้รับการยกย่องสำหรับสิ่งที่พัฒนากลายเป็นหนึ่งในไอเดีย สำคัญแห่งศตวรรษ และความขัดแย้งนี้ก็จะก่อให้เกิดรอยร้าวฉานในมิตรภาพและกระตุ้นให้เกิดการ ฟ้องร้องทางชั้นศาลตามมา


Transformers 3 ทรานฟอร์เมอร์ 3





ชื่อหนังภาษาอังกฤษ  Transformers 3 
ชื่อหนังภาษาไทย   ทรานฟอร์เมอร์ 3
เนื้อเรื่องย่อ อีกครั้งกับอภิมหาภาพยนตร์บล็อคบัสเตอร์เรื่องเยี่ยม TRANSFORMERS 3 ที่สุดของความมันส์กับมหาสงครามหุ่นจักรกลที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ Transformer 3 นำเสนอเรื่องราวของ แซม วิทวิคกี้ (ลาบัฟ) ที่กำลังจะย่างเท้าก้าวแรกเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมๆกับการรักษาสถานะการเป็นมิตรชาวมนุษย์กับออพติมัส ไพรม์เอาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากหลังเป็นการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหภาพโซเวียตและ สหรัฐอเมริกา ซึ่งบ่งบอกว่าเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์มีบทบาทที่ซ่อนเร้นอยู่ และนั่นก็คือหนึ่งในความลับที่อันตรายที่สุดของโลก และหนึ่งในหุ่นตัวร้ายของภาคนี้คือ ช็อคเวฟ



    

Eva trailer.avi





ชื่อภาษาอังกฤษ : Eva
ชื่อภาษาไทย : เอวา มหัศจรรย์หุ่นจักรกล
เรื่องย่อ : ในปี 2014 อเล็กซ์ วิศวกรด้านหุ่นยนต์ผู้มีชื่อเสียง ได้รับโปรเจ็คสำคัญชิ้นหนึ่งที่ทำให้เขาต้องเดินทางกลับมาที่ซานต้า ไอรีนบ้านเกิด ที่ซึ่งอเล็กซ์พบว่าในช่วงเวลา 10 ปี ที่จากไป มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายกับเดวิดและ.ลาน่า น้องชายและ.น้องสะใภ้ของเขา การทำงานประจำวันของอเล็กซ์มักจะถูกรบกวนจาก เอวา ลูกสาวของเดวิดกับลาน่าเสมอ เอวา เป็นเด็กที่มีความพิเศษ เธอและ.อเล็กซ์มีความรู้สึกเชื่อมโยงกันตั้งแต่แรกพบ และ.พวกเขาก็ได้ร่วมกันค้นพบบางสิ่งที่สุดแสนมหัศจรรย์






                      

  

16 สิงหาคม, 2555

6 อันตรายของการจ่ายค่าจ้าง Six Dangerous Myths about Pay


 ความเชื่อผิดๆ
  • อัตราค่าแรงและต้นทุนแรงงานเป็นสิ่งเดียวกัน
  • คุณสามารถลดต้นทุนแรงงานได้โดยการลดอัตราแรงงาน
  • ต้นทุนแรงงานเป็นต้นทุนส่วนใหญ่สุด ของต้นทุนทั้งหมด
  • ต้นทุนแรงงานที่ต่ำนั้น เป็นกลยุทธ์ทางการแข่งขันที่มีพลัง
  • วิธีการจูงใจที่ดีที่สุดคือ การตอบแทนขวัญกำลังใจให้พนักงานเป็นรายบุคคล
  • คนเราทำงานเพื่อนเงินเป็นหลัก
        การลดค่าแรงหรือลดต้นทุนถ้ามีการจ้างแรงงานที่ถูกกว่า ผลที่ตามมาคือ ได้ผลผลิตต่ำ เปลี่ยนเป็นมาใช้วิธี การลดค่าแรงโดยการลดค่าชั่วโมงการทำงานของพนักงานลง
       วิธีการจูงใจที่ดี การส่งเสริมสนับสนุ่นพนักงานให้ทำงานเป็นทีม การจ่ายค่าตอบแทนให้กับทีมมากกว่าจะจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้นหรือการให้กำลังใจพนักงานเป็นรายบุคคล
      คนเราต้องการทำงานในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่การให้พนักงานได้มีโอกาสใช้ความสามารถของตนเอง ได้เห็นความสามารถของตนเอง มีความสนุกมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรบริษัทให้ความชื่นชมต่อผลงานของพวกเขา
     ทุกๆวันผู้นำองการต้องเผชิญกับการตัดสินใจในเรื่องค่าจ้าง พวกเขาปรับเปลี่ยนระบบค่าตอบแทนของบริษัทเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมบางอย่าง แรงงานที่ต่ำเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขันที่สำคัญผู้บริหารอาจละทิ้งวิธีการแข่งขันวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น คุณภาพบริการ การส่งมอบ และ นวัตกรรม ในความเป็นจริงแล้วต้นทุนแรงงานที่ต่ำเป็นวิถีทางที่ไม่แน่นอน ในการแข่งขันและบางทีก็อาจเป็นความได้เปรียบ ทางการแข่งขันที่ยั่งยืนที่ยั่งยืนน้อยที่สุดด้วยซ้ำ
     ในบริษัทคอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ที่ไม่ให้โบนัสพนักงาน ไม่ให้พนักงานถือหุ้นในบริษัท ไม่ให้แม้ผลตอบแทนการเงินซึ่งทำให้พนักงานเป็นเศรษฐี บริษัทนี้คือ SAS Intitule of Cury ในมลรัฐ North Carolina ปัจจุบันบริษัทนี้ เป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุด ในอุสาหกรรมซอฟแวร์ โดยในปี 1997 มีรายได้กว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


 ในอุสาหกรรมที่มีอัตราการลาออกของพนักงานสูงเกือบ 20 % SAS กลับมีอัตราการลาออกของพนักงานไม่ถึง4%เพราะแทนที่SAS จะเน้นเรื่องการจ่ายค่าตอบแทน กลับเน้นเรื่องงานที่ใช้ภูมิปัญญา สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร เหมือนครอบครัว ด้วยการให้สวัสดิการที่ไม่เหมือนใครและให้โอกาสพนักงานในการทำงานด้วยความสนุกกับบุคคลที่น่าสนใจ โดยใช้อุปกรณ์ทันสมัย
            อัตราค่าแรงและต้นทุนแรงงานไม่ใช่สิ่งเดียวกันอัตราค่าแรงคือเงินเดือนทั้งหมดหารด้วยเลาการทำงาน แต่ต้นทุนแรงงานรวมเอาผลผลิตเข้าไปไว้ด้วย
            จากความเชื่อผิดๆสู่ความเป็นจริง: ในหนังสือต่างๆเต็มไปด้วยรายชื่อบริษัทที่พยายามจะลดต้นทุนแรงงานด้วยการปลดพนักงานย้ายอัตราการผลิตไปในอัตราที่ต่ำ การตรึงค่าจ้าง
             เมื่อเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโดยมีรายการของที่จะซื้อ เมื่อนำรายการไปถามพนักงานขายคนหนึ่งว่าจะหาของตามารายการได้จากตรงไหน แต่พนักงานขายตอบมาว่าไม่ทราบ เพราะเขาพึ่งเข้ามาทำงานไม่กี่ชั่วโมง เนืองจากมีอัตราการลาออกสูงจึงจ้างพนักงานใหม่เข้ามาและขาดประสบการณ์ในการทำงาน จ่ายค่าจ้างขั้นต่ำจึงเป็นความเชื่อที่ผิด ทำให้พนักงานขายของไม่มีประสิทธิภาพ
          การจ่ายค่าตอบแทนตามความสามารถ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจพนักงานก็ไม่ได้ทำงานต่างออกไปเท่าใด มีการแนะนำแนวทางแบบนี้สู่แนวทางการปฏิรูปการจ่ายค่าตอบแทนของข่าราชการพลเรือนซึ่งการพิจารณายกเลิกการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น แนวคิดเกี่ยวกับการทำงาน เป็นทีมและผลงานการปฏิบัติงานดีขึ้น การจ่ายค่าตอบแทนแบบปัจเจกบุคคล ก็มีผลกระทบต่อลูกค้า เพราะพนักงานเห็นแก่ค่าคอมมิสชั่น และ ขายงานบริการที่ไม่จำเป็นกำลูกค้า เพราะหนักงานขายคิดเรื่องค่าคอมมิสชั่น มากจนไม่ใส่ใจลูกค้า[1]


[1] Jeffrey Pfeffer, 6อันตรายของการจ่ายค่าจ้าง ,พิมพ์ครั้งที่2 ,ธรรมกลมการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.2549 

การเลิกจ้างและการลาออก

       ส่วนที่ 1 การเลิกจ้าง
การเลิกจ้าง หมายถึง การกระทำของนายจ้างที่แสดงให้ลูกจ้างทราบว่า  นายจ้างไม่จ้างลูกจ้างทำงานต่อไปเพื่อให้ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างเป็นอันเลิกกัน
          
              1) การเลิกจ้างที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย  ตามพระ     ราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17ประกอบมาตรา 118 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้
               มาตรา 17 สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะ                        เวลาในสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
Spac1ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้าง อาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน
Spac1ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตาม มาตรา
119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้
Spac1การบอกเลิกสัญญาจ้างตามวรรคสอง นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้ และให้ถือว่าการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตามวรรคนี้ เป็นการจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตาม มาตรา
582 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Spac1การบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การเลิกจ้าง ตาม มาตรา
119 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และ มาตรา 583 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 118 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่ง เลิกจ้างดังต่อไปนี้
(1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไม่ครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่า ค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี แต่ไม่ครบหกปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหกปี แต่ไม่ครบสิบปีให้ จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสองร้อยสี่สิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(5) ลูกล้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไป  ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวันหรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
Spac1การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
Spac1ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
Spac1การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้ สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจ หรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของ งานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง
    ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้ 
           มาตรา 582 ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
           อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่าย  จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
สรุปหลักการเลิกจ้าง
1 กรณีที่มีกำหนดระยะเวลาจ้าง ย่อมเป็นไปตามมาตรา 17 วรรคหนึ่ง คือ สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
       2 ในกรณีที่นายสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดย
             2.1 บอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากิน 3 เดือน
            2.2 การบอกกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ
            2.3 เวลาที่เลิกสัญญา คือ เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวใด(หลังจากที่ได้บอกกล่าวโดยถูกต้องตาม2.1-2.2)
2) .การเลิกจ้างที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ซึ่งมีบทบัญญัติไว้ดังนี้
           มาตรา 583 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอก กล่าวล่วงหน้า หรือให้สินไหมทดแทนก็ได้

      ส่วนที่ 2 การลาออก
        การลาออก หมายถึง การกระทำของลูกจ้างที่แสดงให้นายจ้างทราบว่าลูกจ้างไม่รับจ้างทำงานให้แก่นายจ้างต่อไป
        แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง
แสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่
รุปสัญญาจ้างแรงงานมี  2 ประเภท
1.      สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลา  ะลาออกก่อนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานนั้นก่อนไม่ได้ เช่น สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระระเวลาจ้าง 3 เดือน จะลาออกก่อนครบ 3 เดือนนั้นก่อนไม่ได้ หากการลาออกก่อนนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างลูกจ้างต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
2.       สัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา  ลูกจ้างสามารถลาออกได้ตามเงื่อนไขต่อไปนี้
             ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้าง(การลาออก)อาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดย
   2.1 บอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากิน 3 เดือน
  2.2 การบอกกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ
  2.3 เวลาที่เลิกสัญญา คือ เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวใด(หลังจากที่ได้บอกกล่าวโดยถูกต้องตาม2.1-2.2)
    สิทธิที่เกิดจาการลาออก
                  การที่ลูกจ้างลาออกย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือค่าเสียหายดังเช่นกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง
                  แต่การลาออกอาจทำให้ลูกจ้างเกิดสิทธิอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือข้อบังคับเกี่ยวข้องกับการทำงานได้ เช่นสิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จ เงินตอบแทนการทำงานนาน เงินสะสมส่วนสมทบของนายจ้าง เป็นต้น[1]










[1] เกษมสันต์  วิลาวรรณ.การเลิกจ้างและการลาออก .พิมพ์ครั้งที่7 วิญญูชน : กรุงเทพมหานคร, 2548.

ข้อเสนอขององค์กรแรงงานไทยต่อพรรคการเมือง


  เรื่อง  นโยบายแรงงาน
เอกสารประกอบการแถลงนโยบายแรงงานของพรรคการเมือง
วันที่21 มิถุนายน2538
สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11
ข้อเสนอ นโยบายคุ้มครองแรงงานและการประกันสังคม
                    เพื่อการส่งเสริมศักดิ์ศรีคุณค่าชีวิตผู้ใช้แรงงาน  เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในการทำงานและสนับสนุนการรวมตัวสร้างอำนาจต่อรองของลูกจ้างผู้ด้อยโอกาสในสังคมอย่างแท้จริง  องค์กรแรงงานทั้งหลายจึงขอเสนอนโยบายแรงงานและการประกันสังคมอย่างเป็นรูปธรรมต่อพรรคการเมืองทุกพรรคดังนี้                    
ข้อเสนอ นโยบาย  10 ประการ

   1.นโยบายการบริหารแรงงาน     กำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกจ้างและองค์กรลูกจ้างในการตรวจแรงงานและการกำกับดูแลสถานประกอบการต่างๆ ส่งเสริมให้องค์กรแรงงานทุกระดับ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายและการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคม  นโยบายส่งเสริมการลงทุนและการกระจายความเจริญ  เน้น การส่งเสริมสนับสนุนสิทธิเสรีภาพการรวมตัวเรียกร้องมากกว่าการ ควบคุมแทรกแซงสิทธิแรงงงานด้วยทัศนะความมั่นคงแห่งชาติ  ส่งเสริมบทบาทลูกจ้างและองค์กรลูกจ้างในการมีส่วนร่วมในการจัดการของสถานประกอบการ
            2. นโยบายด้านค่าจ้าง  รายได้และสวัสดิการแรงงาน
      กำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ  ให้สอดคล้องกับมาตรฐานอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศที่กำหนดให้ค่าจ้างขั้นต่ำสามารถเลี้ยงดูลูกจ้าง  คู่สมรสและบุตรรวมกัน 3 คน ไม่ใช่กำหนดให้สำหรับลูกจ้าง 1 คนมีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการกระจายรายได้และความเสมอภาคเป็นธรรมแก่ลูกจ้างทั้งมวล มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการควบคุมสถานประกอบการต่างๆ ให้มีการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำและสวัสดิการตามกฎหมายอย่างถูกต้องทั่วถึงมากที่สุด  ส่งเสริมให้มีการกำหนดโครงสร้างค่าจ้างของลูกจ้างเอกชนเช่นเดียวกับข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ  โดยให้มีการปรับค่าจ้างประจำปี  ตามภาวะค่าครองชีพ และตามอายุงานความรับผิดชอบของลูกจ้าง
                 3. นโยบายการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง      ให้พัฒนาประสิทธิภาพการตรวจตราบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสุขภาพ  และความปลอดภัยในการทำงานอย่างเคร่งครัดและให้ลูกจ้างและสหภาพแรงงานมีส่วนร่วมตรวจโรงงานด้วย เช่น ออกประกาศกระทรวงแรงงาน รับรองสิทธิอย่างชัดเจนแก่ลูกจ้าง  ควรมีนโยบายบังคับการใช้กฎหมายความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดโดยเน้นการลงโทษเงินสถานเดียวเมื่อพบการฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัย  มีการจัดตั้งคณะกรรมการสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานทั้งในระดับชาติ  ระดับจังหวัดและภายในสถานประกอบการ ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างต้องมาจากการเลือกตั้งของลูกจ้างในสถานประกอบการหรือการเลือกโดยองค์กรลูกจ้าง  จะต้องมีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน มีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานให้เป็นอิสระและคนงานจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
                   4.นโยบายด้านคุ้มครองแรงงานสตรี      ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานสตรีให้ชัดเจนในเรื่องว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศในทุกรูปแบบ เช่น  ค่าจ้าง สวัสดิการ การจ้างงาน  การเกษียณอายุ สงวนตำแหน่งสำหรับแรงงานสตรีในองค์กรที่เกี่ยวกับการพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะนโยบายด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม  เช่น  สภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ   ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนในบริเวณเขตอุตสาหกรรม และชุมชนที่มีลูกจ้างอาศัยหนาแน่น  เพื่อช่วยผ่อนคลายภาระการเลี้ยงดูเด็กของแรงงานสตรีและทำให้มีโอกาสใกล้ชิดดูแลเด็กได้มากขึ้น
                  5.นโยบายการคุ้มครองแรงงานเด็ก   
          รัฐบาลต้องมีการพิจารณานโยบายการป้องกันปัญหา พัฒนาระบบการศึกษาให้มีการจัดการศึกษานอกระบบที่ยืดหยุ่น สอดคล้องกับความจำเป็นในชีวิตและข้อจำกัดของเด็กมากขึ้น  ควรมีการสนับสนุนให้มีการศึกษาถึงลู่ทางของธุรกิจการเกษตร งานหัตถกรรมพื้นบ้าน หรืองานเบาๆซึ่งเด็กสามารถทำได้ มีการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจให้ทุกฝ่ายตระหนัก  รับรู้ถึงปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือตัวเอง และป้องกันปัญหาให้กับเด็ก ผู้ปกครอง  ผู้นำชุมชน ครู ชาวบ้านที่มีปัญหาการอพยพแรงงานสูง  ควรมีการขยายการคุ้มครองไปถึงแรงงานเด็กในภาคเกษตรหรืออื่นๆที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง และควรมีกาติดตาม ศึกษา ประเมินผลสภาวะการใช้แรงงานเด็กเป็นประจำ ทั้งนี้เพราะรูปแบบการใช้แรงงานเด็ก ได้เปลี่ยนแปลงและมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตามรูปแบบกระบวนการผลิตของประเทศ
                   6.นโยบายด้านแรงงานสัมพันธ์       ปรับปรุงกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ให้มีบทบัญญัติชัดเจนในการคุ้งครองลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างผู้ดำเนินการจัดตั้งสหภาพแรงงงาน  การเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงานต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน ห้ามนายจ้างเลิกจ้างและรับคนงานใหม่เข้าทำงานแทนในระหว่างที่มีการนัดหยุดงานหรือปิดงาน ห้ามนายจ้างยื่นข้อเรียกร้องสวนทางต่อลูกจ้าง  มีการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจได้รับสิทธิการจัดตั้งสหภาพแรงงานโดยเร็ว และสหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจสามารถรวมตัวกับสหภาพแรงงานและองค์การลูกจ้างในกิจการภาคเอกชนได้อิสระ
                      7.นโยบายด้านประกันสังคม        จัดการศึกษาอบรมและประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบอย่างกว้างขวางแก่ลูกค้า นายจ้างและเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ  ได้เข้าใจถึงหลักการประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคม มีการกำหนดข้อแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกันสังคมและการยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายประกันสังคมแก่ลูกจ้างประเภทใด ต้องได้รับการยินยอมเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคม และการให้การดำเนินการเป็นไปโดยโปร่งใสเปิดเผยแก่สาธารณชนติดกันแก่สาธารณชน  เช่น  การจัดประชาพิจารณ์  การส่งร่างแก้ไขกฎหมายให้องค์กรลูกจ้าง  ทุกระดับมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอแนะปรับปรุงแก้ไข  ควรปรับการจ่ายค่าทดแทนและเงินทดแทนการขาดรายได้เป็น  100%  ของค่าจ้าง  เพื่อความเป็นธรรมแก่คนงานส่วนใหญ่ซึ่งมีค่าจ้างรายได้ต่ำ   ขาดหลักประกันความมั่งคงในการทำงานเมื่อเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้หรือทุพพลภาพ  จะมีความลำบากยากเข็ญในการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว
                     8. นโยบายการพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน         รัฐบาลต้องมีนบายส่งเสริมการลงทุน  และมาตรฐานการจูงใจทางภาษีอากรต่างๆ ที่จะสนับสนุนการวางแผนพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือของแรงงานอย่างจริงจังต่อเนื่อง  รัฐบาลต้องมีการวางแผนและลงทุนจัดการศึกษาอย่างหลากหลายตามความต้องการและความสาสารถของผู้ใช้แรงงานกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันการปิดโรงงานโดยนายจ้างหนีกลับ  และปล่อยลอยแพคนงานจำนวนมากจำเป็นรัฐบาลจะต้องออกมาตรการบังคับให้นายจ้างงานเงินประกันสำหรับการลงทุน ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพผลิตแลแสวงหาผลกำไรต่อเนื่องของธุรกิจ การแข่งขันโดยใช้ราคาเป็นตัววัด  ซึ่งมักจะส่งเสรมผลให้มีค่าการกดค่าจ้าง  องค์กรลูกจ้าง  ต้องมีบทบาทเชิงรุกในการมีส่วนร่วมและการต่อรองกับนายจ้าง และรัฐบาลให้ตื่นตัวต่อการปรับปรุงความรู้  ทักษะของตัวคนงานทั้งมวลให้สูงขึ้นตลอดเวลา  และมีการประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา  หน่วงงานเอกชนและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
                 9.นโยบายการคุ้มครองแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ           มีการจัดทำระบบทะเบียนข้อมูลเกี่ยวกับ   สภาพการจ้าง   การทำงาน  ที่อยู่อาศัยและสุขภาพของแรงงานไทยก่อนที่จะไปทำงานต่างประเทศและที่ทำงานอยู่แล้วในแต่ละประเทศ   เพื่ออำนวยความสะดวกช่วยเหลือคุ้มครองคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของคนงานเหล่านี้ได้อย่างเท่าทันและสอดคล้องกับสภาพตามความเป็นจริง   มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการควบคุม ตรวจสอบและมาตรการการลงโทษอย่างเฉียบขาดเคร่งครัดต่อสำนักจัดหางานและบริษัทต่างประเทศที่ดำเนินการจัดส่งหรือติดตามว่าจ้างแรงงานไทยไปต่างประเทศโดยหลอกลวง หรือเรียกค่าบริการ  (ค่าหัวคิวอย่างไม่เป็นธรรม  มีการจัดระบบการให้บริการข้อมูลข่าวสารโดยสม่ำเสมอและเท่าทันสถานการณ์ เกี่ยวกับตลาดแรงงานอัตราค่าจ้าง  สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆที่แรงงานไทยจะต้องได้รับในแต่ละประเทศตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนที่จะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือแก่แรงงานไทยในแต่ละประเทศ
                     10.นโยบายการคุ้มครองแรงงานต่างชาติในประเทศไทย  มีการคัดค้านข้อเสนอของหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมและสภาองค์การนายจ้างบางแห่งที่เสนอให้รัฐบาลและกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมผ่อนปรนหรือยกเลิกการใช้กฎหมายควบคุมแรงงานต่างด้าว เสนอให้จัดตั้งเขตจ่ายค่าพิเศษ  เพื่อจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน  เพื่อจ้างแรงงานประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างเสรี  โดยมีข้ออ้างว่า  เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตชนบทขยายการจ้างงานและแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน  ผู้ใช้แรงงานทุกเชื้อชาติทุกสัญชาติที่เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทย  พึงได้รับสิทธิแรงงานและเสรีภาพการรวมตัวต่อรองเสมอภาคเท่าเทียมกับแรงงานไทย ด้วยเหตุผลสิทธิมนุษย์ธรรมและความยุติธรรมทางสังคม[1]        


[1] สมาน  แจ่มบุรี  นโยบายแรงงาน   35-48  ศูนย์การศึกษาพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย