ส่วนมากต่างก็มีพื้นฐานมาจากนักเศรษฐศาสตร์เป็นสำคัญ และแม้ว่าในปัจจุบัน
มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมได้เจริญรุ่งเรืองรุดหน้าไปมากแล้วก็ตาม
ทฤษฏีค่าจ้างก็ยังต้องอาศัยความรู้ตามทฤษฏีค่าจ้างที่เคยใช้ในอดีต
นำมาผสมผสานศึกษาเพื่อกำหนดค่าจ้างคล้ายกับที่เคยทำ ซึ่งตามก็มีแนวคิดเกี่ยวกับค่าจ้างทางใดทางหนึ่ง
แต่ในบรรดาทฤษฏีเหล่านี้ยังไม่มีทฤษฏีใดที่ถูกต้องที่สุด
หากแต่นำมาใช้ตามความจำเป็นและต้องการ

ทฤษฏีค่าจ้างและแรงงานสรุปได้ดังนี้ 1.ทฤษฏีค่าจ้างที่ยุติธรรม (the just price wage)
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “just wage”
หมายถึงแนวคิดที่ว่าค่าจ้างซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ทำงานดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมใกล้เคียงกับลักษณะของงานที่ทำอยู่
หรือยู่ในระดับเดียวกันกับระดับขั้นฐานะที่เขาดำรงชีพอยู่ ดังนั้น
ตามแนวคิดนี้หากบุคคลใดได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญขึ้นค่าจ้างที่ยุติธรรมของเขาก้อต้องสูงขึ้นเท่าเทียมกันด้วย
ทฤษฏีนี้ถือว่าเก่าแก่มีมาช้านานแล้วในสังคมเศรษฐกิจสมัยเดิมตั้งแต่ยุคโบราณ
ข้อดี-ข้อเสียของทฤษฏีค่าจ้างมีดังนี้
ข้อดี
1.ช่วยให้พนักงานช่างฝีมืออิสระได้รับความมั่นคงในการจ้างงานมากขึ้น
2.มีการให้ความสำคัญกับพนักงานที่เป็นปัจจัยต้องจัดหามาเป็นกรณีพิเศษ
ซึ่งแตกต่างกว่าการจัดหาปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่มีชีวิต
ข้อเสีย
2.ขัดแย้งกับหลักความจริงทางเศรษฐกิจที่ค่าจ้างต้องสัมพันธ์กับผลผลิตโดยตรง
และการไม่สัมพันธ์กับผลผลิตซึ่งอาจมีผลเสียในกรณีที่ผลผลิตตกต่ำอย่างมากนั้น
ถ้าค่าจ้างไม่ลดตามกิจการ
อาจล้มจ่ม
3.ปัจจัยที่อ้างอิงมีน้อยเกินไป
ทุกอย่างจึงอยู่กับคำคำเดียวที่เลื่อนลอยวางขอบเขตไม่ได้ นั่นคือความยุติธรรม
4.ปัญหาคำว่ายุติธรรม
ก็ยังมีมาตรฐานแตกต่างกันออกไป และสามารถโต้แย้งกันได้ตลอดเวลา
เกณฑ์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดความเหมาะสมได้ยึดถือเป็น
2 แนวทางด้วยกัน คือ
ก) ความยุติธรรมในแง่ของประโยชน์ต่างตอบแทนกัน(commutation justice)
หมายถึง
การถือประโยชน์ของนายจ้างและลูกจ้างที่แลกเปลี่ยนกันเป็นหลัก
ถือว่าแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการผลิต และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น การทำงานควรให้มีการให้มีผลตอบแทนกลับไปเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
หลักการกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรมในแง่นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
หลักของการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรม (exchange justice)
ข) ความยุติธรรมในทางสังคม (social justice)
ทฤษฏีนี้มองความเป็นธรรมในมุมกว้าง
ถือว่าสังคมได้รับประโยชน์จากแรงงานในการผลิต
ปี ค.ศ.1870
ซึ่งระยะนั้นนักเศรษฐศาสตร์เริ่มเห็นความสำคัญของต้นทุนด้านแรงงานว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญมากขึ้น
จึงได้พยายามหาวิธีการจ่ายค่าตอบแทนค่าจ้างที่ดีกว่าแบบเดิมซึ่งเคยใช้มา
ทฤษฏีที่ได้คิดมา 2 ทฤษฏีด้วยกัน คือ
ก) ทฤษฏีค่าจ้างที่อยู่รอด(The subsistence wagc theory) โดย เดวิด ริคาโด (David Ricardo)พยายามกำหนดโดยเชื่องโยงค่าจ้างให้สัมพันธ์กับประชากร
จำนวนแรงงานและการอยู่รอด หลักการคือ ในระยะยาวค่าจ้างจะต้องปรับตัวตามธรรมชาติ
จนอยู่ในระดับที่จะช่วยให้แรงงานอยู่รอดได้ นั่นคือ
ค่าจ้างจะพอเพียงสำหรับการจัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย เพราะต้นทุนเหล่านี้จะทำให้แรงงานอาศัยอยู่ได้
ค่าจ้างสูงจะเป็นแรงจูงใจให้มีการผลิตแรงงานเพิ่มเข้ามา ทฤษฏีนี้จะมีใช้ในสังคมที่มีการพัฒนาน้อยมากเท่านั้น
ข) ทฤษฏีค่าจ้างตามกองทุนค่าจ้าง (wage fund theory)
โดย จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ในปี ค.ศ.1837
ซึ่งถือหลักว่า นายจ้างต่างจะมีกองทุนจำนวนหนึ่งสำหรับเพื่อการจ่ายค่าจ้าง
และส่วนแบ่งของพนักงานแต่ละคนมีเท่าใดนั้นจะกระทำโดยการแบ่งเฉลี่ยออกตามจำนวนของพนักงานคือ
ค่าจ้างขึ้นลงตามการเติบโตของประชากร หรือตามขนาดของกองทุน
ทฤษฏีนี้นับว่าไม่เป็นที่ยอมรับ
เพราะการเฉลี่ยเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน
ทฤษฏีนี้จุดสนใจจะอยู่ที่การพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
ค่าจ้าง ผลผลิต และการจ้างงานเป็นสำคัญ
ในการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่าจ้างนี้
ต่างก็พยายามดูประสิทธิภาพผลผลิตของแรงงานเป็นตัวหลัก โดยคิดตามค่าของงานที่ออกมาได้นั่นเอง
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฏีย่อย คือ
ก) ทฤษฏีค่าจ้างตามผลสุดท้าย(marginal productivity theory) ตามทฤษฏีนี้ ค่าจ้างที่จ่าย[1]
พนักงาน
จะเท่ากับมูลค่าของผลผลิตส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากผลผลิตปกติรวมตามปกติที่ทำได้
ค่าจ้างตามทฤษฏีนี้ เท่ากับมูลค่าผลผลิตที่เขาทำได้และค่าจ้างของพนักงานทั้งหมด
ทั้งนี้เพราะทุกคนต่างทำงานเหมือนกัน
จึงเท่ากับต่างก็มีประสิทธิภาพการทำงานเท่ากันด้วย
ข) ทฤษฏีประสิทธิภาพผลผลิต (productive efficiency theory) ปรับปรุงมาจากทฤษฏีแรก คือ การยอมเปิดโอกาสให้พนักงานแต่ล่ะคนแสดงความสามารถเพิ่ม
(หรือลด) ค่าจ้างของตนตามประสิทธิภาพผลผลิตที่ตนทำได้

30 ความคิดเห็น:
เก่งจังเลย อิอิ
ดูดูไปข้อดีมีน้อยมาก...แรงงานที่ไหนจะมีกำลังใจในการทำงาน...
ค่าตอบแทนแบบจูงใจ เป็นการดึงดูดให้คนมาทำงานกับองค์การมากขึ้นจริงหรือ
เจ๋งดีคับ!!
ทำไมต้องมีทฤษฏีเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนด้วย
ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะที่ให้ข้อมูล
นกบินสวยดี
เยี่ยมมากเลยค่ะ
เนื้อหาน่าสนใจดีนะค่ะ
การนำทฤษฎีเข้ามาใช้ ช่วยได้เยอะเลยค่ะในการให้ค่าจ้างที่ที่ยุติธรรมทั้งลูกจ้างและนายจ้าง
ค่าตอบแทนแบบจูงใจ จะช่วยให้คนทำงานมีกำลังใจทำงาน และงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะครับ
ลูกจ้างกับนายจ้างต่างก็มีประโยชน์ร่วมกัน การนำทฤษฎีมาใช้ ช่วยให้ สมดุลกันทั้ง 2 ฝ่าย จริงไหมค่ะ
ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะนำทฤษฎีค่าจ้างมาใช้ได้อย่างไรบ้างครับ
ชอบเนื้อหามากค่ะ น่าสนใจดี
อยากลองทำบล็อกตัวเองบ้าง แนะนำหน่อยนะค่ะ
ทฤษฏีค่าจ้าง ทำให้เราได้รับความรู้ที่ดีมากนค่ะ
สร้างบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อ อะไรครับ
ทฤษฎีค่าจ้างยุติธรรม เป็นทฤษฎีที่ดีมากค่ะ ถ้านำทฤษฎีนี้มาใช้จะเป็นการจูงใจให้พนักงานในองค์กรอยากทำงานต่อไปได้นะค่ะ
ตกแต่งสวยงามมากค่ะ เนื้อหาก็ดี
ค่าจ้าง ต้องเหมาะสมกับงานที่ทำช่ายไหมครับ
เนื้อหา โอเคเลยค่ะ
มาเจอเนื้อหาในบล็อกนี้ เป็นข้อมูลที่กำลังหาที่จะส่งงานอยู่เลยค่ะ
ยุติธรรม ไม่มีอยู่ทุกที่หรอกนะค่ะ
อยากให้มีค่าแรงแบบจูงใจเยอะๆค่ะ
นายจ้างไม่เอาเปรียบลูกจ้างนะครับ
ถ้าไม่มีค่าจ้าง งานคงไม่เกิดขึ้นครับ
ทำงานก็เพื่อจะได้ผลตอบแทน แต่ที่บางแห่ง ค่าจ้างไม่คุ้มกับงานที่ทำ ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ
กำลังใจในการทำงาน ก็อยู่ที่ค่าจ้างนี้ล่ะครับ
เจ๋งครับ เนื้อหาใช้ได้
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
แสดงความคิดเห็น