16 สิงหาคม, 2555

ทฤษฏีค่าจ้าง

ทฤษฏีค่าจ้าง (Wage theories) 
ส่วนมากต่างก็มีพื้นฐานมาจากนักเศรษฐศาสตร์เป็นสำคัญ และแม้ว่าในปัจจุบัน มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมได้เจริญรุ่งเรืองรุดหน้าไปมากแล้วก็ตาม ทฤษฏีค่าจ้างก็ยังต้องอาศัยความรู้ตามทฤษฏีค่าจ้างที่เคยใช้ในอดีต นำมาผสมผสานศึกษาเพื่อกำหนดค่าจ้างคล้ายกับที่เคยทำ ซึ่งตามก็มีแนวคิดเกี่ยวกับค่าจ้างทางใดทางหนึ่ง แต่ในบรรดาทฤษฏีเหล่านี้ยังไม่มีทฤษฏีใดที่ถูกต้องที่สุด หากแต่นำมาใช้ตามความจำเป็นและต้องการ

ทฤษฏีค่าจ้างและแรงงานสรุปได้ดังนี้ 1.ทฤษฏีค่าจ้างที่ยุติธรรม (the just price wage) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “just wage”
หมายถึงแนวคิดที่ว่าค่าจ้างซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ทำงานดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมใกล้เคียงกับลักษณะของงานที่ทำอยู่ หรือยู่ในระดับเดียวกันกับระดับขั้นฐานะที่เขาดำรงชีพอยู่ ดังนั้น ตามแนวคิดนี้หากบุคคลใดได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญขึ้นค่าจ้างที่ยุติธรรมของเขาก้อต้องสูงขึ้นเท่าเทียมกันด้วย ทฤษฏีนี้ถือว่าเก่าแก่มีมาช้านานแล้วในสังคมเศรษฐกิจสมัยเดิมตั้งแต่ยุคโบราณ
ข้อดี-ข้อเสียของทฤษฏีค่าจ้างมีดังนี้
ข้อดี
1.ช่วยให้พนักงานช่างฝีมืออิสระได้รับความมั่นคงในการจ้างงานมากขึ้น
2.มีการให้ความสำคัญกับพนักงานที่เป็นปัจจัยต้องจัดหามาเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแตกต่างกว่าการจัดหาปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่มีชีวิต
ข้อเสีย 
  

1.พนักงานแม้จะมีสิทธิได้รับค่าจ้างผลตอบแทน แต่ก็ถูกจำกัดไว้ไม่เกินระดับฐานะ การดำรงชีพอยู่ ซึ่งด้วยข้อจำกัดนี้เองที่ส่งผลทำให้เป็นอุปสรรคมิให้เขายกระดับฐานะการครอบชีพให้สูงขึ้นได้
2.ขัดแย้งกับหลักความจริงทางเศรษฐกิจที่ค่าจ้างต้องสัมพันธ์กับผลผลิตโดยตรง และการไม่สัมพันธ์กับผลผลิตซึ่งอาจมีผลเสียในกรณีที่ผลผลิตตกต่ำอย่างมากนั้น ถ้าค่าจ้างไม่ลดตามกิจการ
อาจล้มจ่ม
            3.ปัจจัยที่อ้างอิงมีน้อยเกินไป ทุกอย่างจึงอยู่กับคำคำเดียวที่เลื่อนลอยวางขอบเขตไม่ได้ นั่นคือความยุติธรรม
            4.ปัญหาคำว่ายุติธรรม ก็ยังมีมาตรฐานแตกต่างกันออกไป และสามารถโต้แย้งกันได้ตลอดเวลา
            เกณฑ์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดความเหมาะสมได้ยึดถือเป็น 2 แนวทางด้วยกัน คือ
ก)      ความยุติธรรมในแง่ของประโยชน์ต่างตอบแทนกัน(commutation justice)
หมายถึง การถือประโยชน์ของนายจ้างและลูกจ้างที่แลกเปลี่ยนกันเป็นหลัก ถือว่าแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการผลิต และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การทำงานควรให้มีการให้มีผลตอบแทนกลับไปเป็นการแลกเปลี่ยนกัน หลักการกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรมในแง่นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักของการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรม (exchange justice)
ข)      ความยุติธรรมในทางสังคม (social justice)
ทฤษฏีนี้มองความเป็นธรรมในมุมกว้าง ถือว่าสังคมได้รับประโยชน์จากแรงงานในการผลิต
       2.ทฤษฏีค่าจ้างในสมัยเดิม (wage fund theory)
ปี ค.ศ.1870 ซึ่งระยะนั้นนักเศรษฐศาสตร์เริ่มเห็นความสำคัญของต้นทุนด้านแรงงานว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความสำคัญมากขึ้น จึงได้พยายามหาวิธีการจ่ายค่าตอบแทนค่าจ้างที่ดีกว่าแบบเดิมซึ่งเคยใช้มา ทฤษฏีที่ได้คิดมา 2 ทฤษฏีด้วยกัน คือ
ก) ทฤษฏีค่าจ้างที่อยู่รอด(The subsistence wagc theory) โดย เดวิด ริคาโด (David Ricardo)พยายามกำหนดโดยเชื่องโยงค่าจ้างให้สัมพันธ์กับประชากร จำนวนแรงงานและการอยู่รอด หลักการคือ ในระยะยาวค่าจ้างจะต้องปรับตัวตามธรรมชาติ จนอยู่ในระดับที่จะช่วยให้แรงงานอยู่รอดได้ นั่นคือ ค่าจ้างจะพอเพียงสำหรับการจัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย เพราะต้นทุนเหล่านี้จะทำให้แรงงานอาศัยอยู่ได้ ค่าจ้างสูงจะเป็นแรงจูงใจให้มีการผลิตแรงงานเพิ่มเข้ามา ทฤษฏีนี้จะมีใช้ในสังคมที่มีการพัฒนาน้อยมากเท่านั้น
ข) ทฤษฏีค่าจ้างตามกองทุนค่าจ้าง (wage fund theory) โดย จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ในปี ค.ศ.1837 ซึ่งถือหลักว่า นายจ้างต่างจะมีกองทุนจำนวนหนึ่งสำหรับเพื่อการจ่ายค่าจ้าง และส่วนแบ่งของพนักงานแต่ละคนมีเท่าใดนั้นจะกระทำโดยการแบ่งเฉลี่ยออกตามจำนวนของพนักงานคือ ค่าจ้างขึ้นลงตามการเติบโตของประชากร หรือตามขนาดของกองทุน ทฤษฏีนี้นับว่าไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะการเฉลี่ยเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน
       3.ทฤษฏีค่าจ้างตามผลผลิต (Productivity theory)


ทฤษฏีนี้จุดสนใจจะอยู่ที่การพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ค่าจ้าง ผลผลิต และการจ้างงานเป็นสำคัญ ในการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่าจ้างนี้ ต่างก็พยายามดูประสิทธิภาพผลผลิตของแรงงานเป็นตัวหลัก โดยคิดตามค่าของงานที่ออกมาได้นั่นเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฏีย่อย คือ
ก) ทฤษฏีค่าจ้างตามผลสุดท้าย(marginal productivity theory) ตามทฤษฏีนี้ ค่าจ้างที่จ่าย[1]
พนักงาน จะเท่ากับมูลค่าของผลผลิตส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากผลผลิตปกติรวมตามปกติที่ทำได้ ค่าจ้างตามทฤษฏีนี้ เท่ากับมูลค่าผลผลิตที่เขาทำได้และค่าจ้างของพนักงานทั้งหมด ทั้งนี้เพราะทุกคนต่างทำงานเหมือนกัน จึงเท่ากับต่างก็มีประสิทธิภาพการทำงานเท่ากันด้วย
ข) ทฤษฏีประสิทธิภาพผลผลิต (productive efficiency theory) ปรับปรุงมาจากทฤษฏีแรก คือ การยอมเปิดโอกาสให้พนักงานแต่ล่ะคนแสดงความสามารถเพิ่ม (หรือลด) ค่าจ้างของตนตามประสิทธิภาพผลผลิตที่ตนทำได้


[1] ธงชัย สันติวงษ์,การบริหารค่าตอบแทน,พิมพ์ครั้งที่ 6, ประชุมช่าง : กรุงเทพมหานคร,2546 (35-41)


30 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เก่งจังเลย อิอิ

Unknown กล่าวว่า...

ดูดูไปข้อดีมีน้อยมาก...แรงงานที่ไหนจะมีกำลังใจในการทำงาน...

Unknown กล่าวว่า...

ค่าตอบแทนแบบจูงใจ เป็นการดึงดูดให้คนมาทำงานกับองค์การมากขึ้นจริงหรือ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เจ๋งดีคับ!!

Unknown กล่าวว่า...

ทำไมต้องมีทฤษฏีเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนด้วย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะที่ให้ข้อมูล

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นกบินสวยดี

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เยี่ยมมากเลยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เนื้อหาน่าสนใจดีนะค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

การนำทฤษฎีเข้ามาใช้ ช่วยได้เยอะเลยค่ะในการให้ค่าจ้างที่ที่ยุติธรรมทั้งลูกจ้างและนายจ้าง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ค่าตอบแทนแบบจูงใจ จะช่วยให้คนทำงานมีกำลังใจทำงาน และงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลูกจ้างกับนายจ้างต่างก็มีประโยชน์ร่วมกัน การนำทฤษฎีมาใช้ ช่วยให้ สมดุลกันทั้ง 2 ฝ่าย จริงไหมค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะนำทฤษฎีค่าจ้างมาใช้ได้อย่างไรบ้างครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบเนื้อหามากค่ะ น่าสนใจดี

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากลองทำบล็อกตัวเองบ้าง แนะนำหน่อยนะค่ะ

Unknown กล่าวว่า...

ทฤษฏีค่าจ้าง ทำให้เราได้รับความรู้ที่ดีมากนค่ะ

Unknown กล่าวว่า...

สร้างบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อ อะไรครับ

Unknown กล่าวว่า...

ทฤษฎีค่าจ้างยุติธรรม เป็นทฤษฎีที่ดีมากค่ะ ถ้านำทฤษฎีนี้มาใช้จะเป็นการจูงใจให้พนักงานในองค์กรอยากทำงานต่อไปได้นะค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ตกแต่งสวยงามมากค่ะ เนื้อหาก็ดี

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ค่าจ้าง ต้องเหมาะสมกับงานที่ทำช่ายไหมครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เนื้อหา โอเคเลยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มาเจอเนื้อหาในบล็อกนี้ เป็นข้อมูลที่กำลังหาที่จะส่งงานอยู่เลยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ยุติธรรม ไม่มีอยู่ทุกที่หรอกนะค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากให้มีค่าแรงแบบจูงใจเยอะๆค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นายจ้างไม่เอาเปรียบลูกจ้างนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าไม่มีค่าจ้าง งานคงไม่เกิดขึ้นครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ทำงานก็เพื่อจะได้ผลตอบแทน แต่ที่บางแห่ง ค่าจ้างไม่คุ้มกับงานที่ทำ ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

กำลังใจในการทำงาน ก็อยู่ที่ค่าจ้างนี้ล่ะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เจ๋งครับ เนื้อหาใช้ได้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ